วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เกาะหลีเป๊ะ สมชื่อมัลดีฟส์แห่งเมืองไทย




               เปลี่ยนวันพักผ่อนของท่านให้เป็นวันพิเศษและประสบการณ์บนหาดทรายสวยๆ ที่ยากจะลืม ต้องที่ เกาะหลีเป๊ะ เกาะที่อุดมสมบูรณ์มีธรรมชาติรอบด้าน บนพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดสตูล แบ่งหาดบนเกาะออกเป็น 3 ส่วน คือ หาดซันไรส์ , หาดบันดาหยา , หาดซันเซ็ท โดยในแต่ละหาดนั้นจะมีความแตกต่างกันไป ดังนั้นหากผู้อ่านเป็นคนชอบพักผ่อนในรูปไหนก็สามารถเลือกพักในพื้นที่นั้นได้ตามใจชอบ ดังต่อไปนี้


1.หาดบันดาหยา หรือ หาดพัทยา
สำหรับเกาะบันดาหยานั้นได้รับความนิยมแบบสุดๆ เพราะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวกับจำนวนมาก พร้อมอาหารและเครื่องดื่มตลอดริมหาด เรียกได้ว่ามีความหลากหลายแบบสุดๆ พร้อมกันนี้ยังมีที่พักบริเวณนี้ให้ท่องเที่ยวเลือกพักผ่อนกันได้อย่างอิสระ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสนุกสนานและพบปะผู้คนมากหน้าหลายตาและความคึกคักตลอดทั้งคืน


2.หาดซันเซ็ท
เหมาะอยากสิ่งสำหรับผู้ที่ชอบความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวสูง ต้องการพักผ่อนหย่อนใจโดยเฉพาะอีกทั้งในจุดนี้ยังนับว่ามีอากาศดีที่สุด ชายหาดค่อนข้างจะสงบเป็นพิเศษดังนั้นท่านจะรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทั้งยังเดินเล่นกับความครัวหรือคนรักไปตามชายหาดอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องเจอผู้คนที่เยอะเหมือนอย่างหาดบันดาหยา ดังหากใครชอบความเป็นส่วนตัวหรือไปเที่ยวกับครอบครัว หาดซันเซ็ทน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในการมาเยือนเกาะหลีเป๊ะนี้


3.หาดซันไรส์
หนึ่งในหาดที่เงียบสงบไม่แพ้กับซันเซ็ทเลย เพราะท่านจะได้รับความเป็นส่วนตัวเช่นเดียวกันอีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนเกาะหลีเป๊ะนี้ เพราะตกเย็นนักท่องเที่ยวจะสามารถรับชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทำให้ใครที่ชื่นชอบเก็บภาพประทับใจหรือรักการถ่ายรูป หาดซันไรส์นี่แหละเหมาะกับคุณแล้ว


               สิ่งที่ทำให้เกาะหลีเป๊ะสวยงามอย่างมากก็คือ แนวปะการังที่ทอดยาวรอบเกาะ พร้อมปลาฝูงมากมายนานาชนิดที่คุณสามารถดำน้ำดูพวกปลาเหล่านั้นได้เพียงออกจากบริเวณชายหาดไปไม่ไกล และหาดทรายที่นุ่มขาวใสละเอียดยิ่งกว่าแป้ง และจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเกาะหลีเป๊ะก็คือ มีบริการเช่าชุดดำน้ำไปจนถึงรับการพาทัวเกาะและพาไปยังจุดน้ำมากมายบนเกาะ ให้นักท่องเที่ยวเลือกใช้บริการได้ตามใจชอบ


               ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเยือนยังเกาะแห่งนี้จะได้รับประสบการณ์ดีๆ มากมายไม่รู้จบ อีกทั้งท่านยังสามารถดำน้ำไปทั่วทั้งเกาะทุกจุด ไม่จำเป็นต้องนั่งเรือออกไปเลยแม้แต่น้อย เพราะปะการังและฝูงปลารอบล้อมไปทั่วทั้งเกาะจริงๆ เรียกได้ว่าสะดวกสบายและเพลิดเพลินไปกับการดำน้ำแบบสุดๆ เลยทีเดียว ...



วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รับลมหนาวขึ้นเหนือที่ ดอยอ่างขาง


         อากาศเย็นช่วงท้ายปีแบบนี้ต้องนึกถึงหน้าเหนือเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน วันนี้ผู้เขียนจึงอยากจะพาทุกท่านไปยัง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอฝาง ตำบลแม่งอน ดอยอ่างขางหรืออีกชื่อเรียกว่า สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งมีอากาศหนาวเกือบตลอดทั้งปี บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร มียอดดอยสูง 1,928 เมตร กินพื้นที่มากกว่า 26.52 ตารางกิโลเมตร มีทำการเกษตรเมืองหนาวเป็นอาชีพหลักของชาวไทยภูเขา บนความงามตามธรรมชาติ

 
 
         บนดอยอ่างขางนักท่องเที่ยวสามารถรับชมแม่คะนิ้งหรือน้ำค้างได้ในช่วงเดือนธันวาคม – มกราคม เพราะมีอากาศหนาวมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นในช่วงหน้าร้อนของประเทศไทยอย่างเดือนเมษายนก็มีอากาศที่กำลังดีไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้มีนักท่องเที่ยวไปเยือนอยู่ตลอดเวลาเรียกได้ว่าไม่เงียบเหงาเลยสำหรับดอยอ่างขาง

         โดยข้างบนดอยนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายไม่ว่าจะเป็น ชมสวนบอนไซ , เดินชมอุโมงค์ดอกนางพญาเสือโคร่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับดอกซากุระเสมือนให้อารมณ์ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น , จุดชมวิว พระอาทิตย์ขึ้น – ตก ที่สุดสวยงาม , ถ่ายรูปคู่กับทะเลหมอกที่รายล้อมไปด้วยภูเขารอบด้าน เรียกได้ว่าไม่ต้องไปไหนใกล้เลยมาที่ดอยอ่างขางได้ประสบการณ์ดีๆ กลับไปเพียบอย่างแน่นอน

         ทั้งนี้หากใครสนใจจะนอนค้างคืนบนดอยเพื่อรับลมหนาวในยามเช้าและยามค่ำคืนก็สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นลากเต็นท์มากางนอนเองหรือจะเช่าบ้านพักแรมที่เปิดให้บริการ แต่ในปีนี้ต้องบอกก่อนเลยว่ามีคนแอบมาบอกผู้เขียนว่าที่พักทั้งหมดถูกจองเต็มข้ามปีไปจนถึงปี พ.ศ.2559 เลยทีเดียว พูดได้ว่าดอยอ่างขางในเวลานี้กำลังได้รับความนิยมอย่างสุดๆ

ดังนั้นหากใครไม่อยากตกเทรนด์ อย่ารอช้ารีบขึ้นเหนือรับลมหนาวเยี่ยมชมดอกไม้เมืองหนาว ที่ดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่เลย


วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หนีหนาวขึ้นเขาใหญ่ สูดอากาศบริสุทธิ์ในช่วงสิ้นปี




กว่าจะมีโอกาสได้ต้อนรับลมหนาวทั้งทีทุกท่านคงจะอยู่เฉยไม่ได้ ต้องหาสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับลมหนาวในช่วงใกล้สิ้นปี ผู้เขียนเลยอยากจะมาแนะนำตัวเลือกสำหรับการไปพักผ่อนในช่วงฤดูหนาว อย่าง เขาใหญ่ หรือ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติที่แรกของประเทศไทย ในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2505 บนพื้นที่มากกว่า 2,168 ตารางกิโลเมตร กินพื้นที่กว้างขวางถึง 4 จังหวัด ใน 11 อำเภอ พร้อมธรรมชาติพื้นไม้นานาชนิด พร้อมด้วยสัตว์อย่าง นก , เสือ , ช้าง , กระทิง , เก้ง และ กวาง พร้อมสัตว์อีกมากมายที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างเข้ามาชมความอุดมสมบูรณ์ โดยภายในเขาใหญ่มีขุนเขาและน้ำตกรวมกันอยู่อย่างมากมายหลายแห่ง เหมาะสำหรับให้ผู้มาเยือนรับชมความงามกันอย่างหลากหลาย จนได้รับการขนานนามว่า อุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียนกันเลยทีเดียว ...


 

         หากถามถึงผู้เขียนแล้ว หน้าร้อนแน่นอนว่าต้องลุยทะเลกับชายหาดร้อนๆ แสบไปถึงผิว แล้วสำหรับหน้าหนาวละ ? แน่นอนว่าจะต้องเป็นแม่น้ำภูเขาลำธาร ขึ้นไปเพื่อรับลมหนาวกับอากาศดีๆ หรือนั่งชมทะเลหมอกบนยอดภูเขาเป็นต้น แค่คิดเท่านี้ก็อยากแพ็คกระเป๋าเดินทางกันแล้วใช่ไหมละ ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่รอช้าหน้าหนาวเลยรีบมาแนะนำทุกท่านทันที หากพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลยดีกว่า ...


ต้องบอกการว่าแม้เขาใหญ่จะเป็นเขาในเขตร้อน แต่ไม่ได้มีอากาศร้อนเลยสักนิดเดียวด้วยลมมรสุมที่พัดเข้ามา ทำให้เขาใหญ่มีฝนตกชุกตลอดปีทำให้มีสภาพป่ารกทึบร่มเย็น ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไปโดยอุณหภูมิเฉลี่ยตกอยู่ที่ 23 องศาเซลเซียส อากาศหนาวจัดจะอยู่ในช่วงปลายปีอย่าง ตุลาคม ไปจนถึงต้นปีหน้าในเดือน กุมภาพันธ์ หากใครที่เดินทางไปเที่ยวในช่วงปีใหม่ก็จะเจอนักท่องเที่ยวหนาตาเป็นพิเศษ

โดยสถานที่ท่องเที่ยวบนเขาใหญ่มีมากมายเหลือเกิน อาทิ น้ำตกสาลิกา , น้ำตกเหวนรก , น้ำตกผากล้วยไม้ , น้ำตกเหวสุวัต และอีกมามายกว่า 20 แห่ง

พร้อมกันนี้ยังมีเขามากมายหลายลูกที่รอต้อนรับนักเดินทางอย่าง เขาร่ม , เขาแหลม , เขาเขียว , เขาสามยอด , เขาฟ้าผ่า , เขากำแพง , เขาแก้ว สุดท้าย เขาสมอปูน เรียกได้ว่าเที่ยววันเดียวไม่มีหมดแน่นอน


จุดชมทิวทัศน์เขาเขียว

         ด้วยมีพื้นที่ที่กว้างขวางทางอุทยานจึงสร้างจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นวิวพื้นที่กว้างใหญ่ มองเห็นเขาร่มเป็นแนวยาว อีกทั้งยังสามารถรับชมพระอาทิตย์ยามเช้าได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมองเห็นตัวจังหวัดของปราจีนบุรีอีกด้วย


สามารถชมสัตว์ป่าหายากตามจุดหอดูสัตว์
หากใครที่อยากเห็นสัตว์ป่าตัวเป็นๆ ตามธรรมชาติอย่าง กวาง , โขลงช้างป่า หรือโชคดีหน่อยอาจจะได้ชมฝูงกระทิงลงมาจากเขาเพื่อกินดินโป่งได้อีกด้วย โดยผู้เขียนแนะนำให้ไป หอดูสัตว์คลองปลากั้ง เพราะมีโอกาสเห็นฝูงกระทิงมากที่สุด โดยหอดูสัตว์มีด้วยกัน 3 แห่ง คือ

                                                                                                             1.หอดูสัตว์คลองปลากั้ง 

                                                                                                             2.หอดูสัตว์มอสิงโต

                                                                                                             3.หอดูสัตว์หนองผักชี

         ภายในเขาใหญ่นั้นเพียบพร้อมไปด้วยสัตว์ป่ามากสายพันธุ์ แบ่งเป็น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 67 ชนิด นกมีมากกว่า 250 ชนิด , พืชพรรณ 3,000 ชนิด และแมลงมากถึง 5,000 ชนิด หรือนักท่องเที่ยวอาจจะพบกับฝูงสัตว์ระหว่างขับรถไปตามท่องถนนแล้วมองลงมาจากริมทางก็ยังได้ โดยส่วนมากจะได้เจอกับฝูงช้างที่ออกมาหากินอาหาร หากโชคดีอาจจะพบเจอได้ตามริมถนนเลยทีเดียว เรียกได้ว่าใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างสุดๆ

สามารถค้างคืนบนเขาใหญ่ได้ พร้อมอุปกรณ์ให้เช่าครบครัน


         ใครที่ต้องการจะนอนค้างคืนหรือพักผ่อนไปกับธรรมชาติในช่วงกลางคืน ก็สามารถแจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นกางเต็นท์นอน เจ้าหน้าที่ก็มีจุดกางเต็นท์ 2 จุดหลักๆ ก็คือ ผากล้วยไม้และลำตะคอง หากใครไม่ได้นำเครื่องมืออุปกรณ์มาก็สามารถเช่ากับทางเจ้าหน้าที่ได้ในราคาไม่แพง รวมถึงหากใครที่มาเป็นกลุ่มคณะทางอุทยานก็ได้มีค่ายพักแรมรองรับถึง 3 จุด ค่ายกองแก้ว ค่ายสุรัสวดี ค่ายเยาวชน สุดท้ายหากใครมาเป็นครอบครัวใหญ่เจ้าหน้าที่ก็ยังมีบริการให้เช่าบ้านพักในบริเวณทำการอุทยานและบ้านธนะรัชต์นั้นเอง


ผู้เขียนขอให้ผู้อ่านทุกคนที่กำลังมองหาสถานที่พักผ่อนในช่วงอากาศหนาวๆ ... ก็ขอให้สนุกไปกับการท่องเที่ยวและการเดินทางอย่างเต็มที่ เที่ยวเมืองไทย สวยไม่แพ้ใครในโลก ...


         สุดท้ายนี้ผู้เขียนอยากจะฝากถึงนักท่องเที่ยวทุกคนว่า การท่องเที่ยวบนแห่งธรรมชาติที่อุดมไปด้วยสัตว์นานาชนิด ควรที่จะช่วยกันรักษาชีวิตเพื่อนมนุษย์และอนุรักษ์พื้นป่า เช่น ไม่ควรขับรถเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ชนสัตว์ป่า , ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทางช่วยรักษาความสะอาด , ไม่ควรรบกวนสัตว์ป่าตามธรรมชาติ เพียงเท่านี้ผู้เขียนก็เชื่อว่าจะช่วยให้แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติของเราคงอยู่ไปอีกนานเท่านาน ...